Chip card และเทคโนโลยี EMV ช่วยป้องกันบัตรเดบิต และบัตรเอทีเอ็มจากการโจรกรรมข้อมูลได้จริงหรือ?
ช่างเป็นปัญหาหนักอกของแบงค์เล็ก แบงค์ใหญ่ ทั้งไทยและเทศ เพราะจับไม่ได้ไล่ไม่ทันกับพวกมิจฉาชีพเหล่านี้เสียหาย ข่าวที่เพิ่งได้รับชมเมื่อสักครู่ แสดงให้เห็นว่า ตอนนี้มีเทคโนโลยีใหม่เกี่ยวกับการป้องกันบัตรถูกโจรกรรมข้อมูลด้วยการเปลี่ยนรูปแบบจากแถบแม่เหล็กที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ให้เป็นแบบ chip card โดยฝังข้อมูลไว้ในบัตร ทำให้ยากขึ้นสำหรับเหล่ามือขโมยทั้งหลาย
แล้วจะแก้ปัญหาได้จริงหรือ?
นอกจากจะต้องเปลี่ยนรูปแบบบัตรแล้ว สิ่งที่จะต้องเปลี่ยนตามมาคือตู้เอทีเอ็มจะต้องเปลี่ยนเป็น เทคโนโลยี EMV เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
แต่ใช่ว่าปัญหาเรื่องการปลอมแปลงเบาบางลงแล้วอะไร ๆ จะฉลุย สิ่งที่หนักอกมากกว่านั้นสำหรับนายแบงค์ก็ตรงที่จะต้องเปลี่ยนระบบตู้ยกแผงที่แหละ เงิน เงิน และก็เงิน สำหรับลงทุน บรรดานายแบงค์คงต้องใช้เวลาพิจารณากันอย่างถี่ถ้วนทีเดียว เพราะแม้แต่อเมริกาเองก็ทำไม่ทำก็ด้วยเหตุผลเรื่องที่ต้องลงทุนกับระบบตู้เอทีเอ็มใหม่ทั้งหมด ดังนั้นการหว่านล้อม ๆ ให้เพื่อน ๆ ธนาคารด้วยกันยินยอมพร้อมใจกันด้วย เพราะบ้านเราใช้ ATM Pull หากเราไปเพื่อนไปก็จบกัน เพราะคนไม่นิยมแน่ กว่าจะหาตู้เราเจอ กดเงินที่อื่นก็ไม่ได้
จากเนื้อข่าว แบงค์ชาติน่าจะดำเนินการ Chip card และเทคโนโลยี EMV ช่วยป้องกันบัตรเดบิต และบัตรเอทีเอ็มจากการโจรกรรมข้อมูล ให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี ซึ่งน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับชาวบ้านอย่างเรา ๆ ที่จะได้กดเงินได้อย่างสบายอารมณ์ ไม่ต้องจด ๆ จ้อง ๆ ว่าใครแอบมองรหัสหรือเปล่า หรือมีใครเอาอะไรมาติดไว้ที่เครื่องหรือเปล่า บางทีก็วิตกจริตนะ โดยเฉพาะช่วงโบนัสออกที่แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ที่พวกเราใช้ประกอบอาชีพ หากใครโดนโจรกรรมช่วงนั้นคงลมใส่เป็นแน่ ถึงแม้ส่วนใหญ่ผู้เสียหายจะเป็นธนาคาร แต่ไม่เกิดก็คงจะเป็นการดีที่สุดใช่มั้ยล่ะคะ
ระหว่างที่รอเทคโนโลยีใหม่ ก็ต้องป้องกันตัวเองไปพลาง ๆ ก่อนแล้วกันค่ะ
เครดิต : ไทยพีบีเอส